เทคนิคการปลูกพริกให้รวย

เทคนิคการปลูกพริก

เทคนิคการปลูกพริกให้รวย เป็นบทความที่ผู้เขียนรวบรวมมาเพื่อให้เกษตรกรและผู้ปลูก ได้นำไปปรับใช้ในการปลูกพริกตามสายพันธุ์ที่ท่านเลือกปลูก ซึ่งมีความแตกต่างกันนิดหน่อยจากบทความ การปลูกพริก ที่ผู้เขียนได้เคยนำเสนอไว้ เป็นวิธีการขั้นพื้นฐานที่ใช้ปฏิบัติในการปลูกพริกได้ทุกสายพันธุ์ เกษตรกรและผู้ปลูกสามารถเรียนรู้และนำไปปรับใช้ตามความสะดวกและความเหมาะสมให้รวยได้ด้วย เทคนิคการปลูกพริก ของแต่ละสายพันธุ์ ดังนี้

พริกขี้หนู
ขนาดผลยาวประมาณ 2 ถึง 3 เซนติเมตร ผลชี้ลงพื้นดิน ผลดิบมีสีเขียว ส่วนผลแก่มีสีส้ม สีแดง สีแดงเข้ม หรือสีเหลือง ยอดอ่อนของพริกขี้หนูนี้ คนไทยนิยมนำมาประกอบอาหาร เช่น ลวกจิ้มน้ำพริก ใส่แกงเลียง ใส่ไข่เจียว หรือแกงจืด
สายพันธุ์พริกขี้หนู แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

  1. พันธุ์ผสมเปิด ได้แก่ พริกจินดา-เลย พริกจินดา พริกยอดสน พริกห้วยสีทน พริกไชยปราการ และพริกหัวเรือ เบอร์ 13
  2. พันธุ์ลูกผสม ได้แก่ พริกซุปเปอร์ฮอท พริกแชมป์เปี้ยน ฮอท 44 พริกสยาม ฮอท พริกชิ วาลรี ที1698 พริกเรดฮอท ทีเอ100 พริกรสแซบ ที2007 พริกจินดา 877 และพริกวโรรส

ระยะปลูกที่เหมาะสมสำหรับพริกขี้หนู

  • พริกขี้หนูเป็นพริกที่มีพุ่มใหญ่ ระยะห่างระหว่างต้นควรอยู่ที่ 50 เซนติเมตร และระยะระหว่างแถว 100 เซนติเมตร

การให้น้ำ

  • ควรให้พอชุ่มอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำขังแฉะ
  • ระยะเพาะกล้า ควรให้น้ำทุกวันหลังเพาะประมาณ 5 ถึง 6 สัปดาห์ จนกว่าต้นกล้าจะตั้งตัวได้
    ระยะต้นโต รดน้ำ 1 วัน หยุด 2 วัน ถ้าดินแห้ง ให้เพิ่มปริมาณการให้น้ำเพื่อไม่ให้ต้นพริกชะงักการเจริญเติบโต

การให้ปุ๋ย

  • ใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพเมื่อต้นพริกมีอายุได้ 20 วัน ในอัตรา 1 หรือ 2 กำมือ ต่อ 1 ต้น

การเก็บเกี่ยว

  • ควรเก็บเกี่ยวทุก 7 วัน ต่อครั้ง โดยใช้เล็บจิกตรงรอยก้านผลที่ต่อกับกิ่ง

พริกกะเหรี่ยง
เป็นพริกขี้หนูที่ชาวกะเหรี่ยงนำมาปลูก พบมากตามแนวชายแดนไทย-พม่า ในแถบจังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดเพชรบุรี นิยมรับประทานในรูปแบบพริกแห้ง และนิยมนำไปแปรรูปในอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร พริกสายพันธุ์นี้มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม ทนต่อสภาวะอากาศ ทนต่อโรคและแมลงศัตรูพริก
วิธีเพาะ ทำได้ 2 วิธี คือ

  1. แช่เมล็ดพันธุ์ไว้ในน้ำ 1 คืน แล้วนำมาห่อในผ้าเปียก บ่มไว้ประมาณ 2 ถึง 3 วัน เมื่อสังเกตเห็นตุ่มรากสีขาวเล็กๆ จึงนำไปเพาะ
  2. นำผลพริกกะเหรี่ยงที่เก็บมาจากต้นไปตากแดดจนแห้งสนิท จากนั้นนำไปตำในครกหรือกระบอกไม้ไผ่ให้เมล็ดแตกออก แล้วนำเมล็ดไปหยอดลงหลุมปลูก หลุมละ 5 ถึง 10 เมล็ด ระยะห่างระหว่างหลุม 80×80 เซนติเมตร

การเพิ่มมูลค่าพริกกะเหรี่ยง

  • ควรเริ่มเพาะกล้าตั้งแต่เดือนกันยายน ถึงเดือนตุลาคม เพื่อให้ได้ผลผลิตหลังการปลูก 90 วัน ซึ่งเป็นช่วงฤดูแล้ง พริกกะเหรี่ยงจะมีราคาแพง

การดูแลรักษา

  • ไม่ใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืช และไม่ใส่ปุ๋ยเคมีเพราะจะทำให้ความหอมที่พริกกะเหรี่ยงมีอยู่เฉพาะตัวลดลง

พริกหวานหรือพริกยักษ์
พริกหวานสีเขียวจะเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ผลสุกก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดง สีเหลือง สีส้ม หรือสีม่วง เป็นพืชตระกูลมะเขือ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ ต้องปลูกในโรงเรือนที่ควบคุมอุณหภูมิได้เหมาะสม คือ ระหว่าง 20 ถึง 25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิกลางคืนไม่เกิน 20 องศาเซลเซียส เพราะพริกหวานต้องการอากาศอบอุ่น ความชื้นในอากาศต่ำ ไม่ทนต่อน้ำค้างแข็ง การปลูกในฤดูหนาว อุณหภูมิในโรงเรือนควรสูงกว่าภายนอก 5 องศาเซลเซียส เพื่อช่วยให้เจริญเติบโตและติดผล

วัสดุเพาะกล้า

  • ควรใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกเก่า ขี้เถ้าแกลบ และปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 เพราะเมล็ดพันธุ์พริกหวานจะงอกช้ากว่าเมล็ดพันธุ์พืชตระกูลมะเขืออื่นๆ

การเตรียมเมล็ดพันธุ์

  • แช่เมล็ดในน้ำผสมเบนเลทและแคปเทน ในอัตราส่วน อย่างละ 6 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร ประมาณ 30 ถึง 60 นาที เพื่อป้องกันโรคและเร่งการงอกของเมล็ดพันธุ์
  • จากนั้นนำเมล็ดพันธุ์ไปแช่ในน้ำอุ่นอุณหภูมิประมาณ 50 องศาเซลเซียส 10 นาที และแช่ในโพแทสเซียมไนเตรท (KNO3) เข้มข้น 0.1 ถึง 0.2 เปอร์เซ็นต์
  • นำเมล็ดขึ้นสะเด็ดน้ำ และใช้ผ้าเปียกห่อและบ่มไว้ประมาณ 1 ถึง 2 วัน เมื่อเริ่มมีรากงอกออกมาให้นำไปหยอดในถาดเพาะกล้า ลึกประมาณ 1 เซนติเมตร

การให้น้ำ

  • ระยะเพาะกล้า
    รดน้ำพอชุ่มวันละสองครั้ง เช้าและเย็น เมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตให้รดน้ำวันละครั้งในตอนเช้า จากนั้นรดน้ำทุก 2 วัน ต่อครั้ง
  • ระยะต้นโต
    ควรรดน้ำพอชุ่มไม่ขังแฉะ จะทำให้รากเน่า ต้นตายได้
    การปลูกในดินทรายต้องให้น้ำบ่อย
    หากมีหมอกลงจัด ควรให้น้ำในตอนบ่ายเพื่อให้หน้าดินแห้งก่อน

การให้ปุ๋ย

  • นิยมให้ปุ๋ยน้ำหรือปุ๋ยเกล็ดที่มีธาตุอาหารหลักและธาตุรองทุก 3 ถึง 5 วัน

ระยะปลูกที่เหมาะสมสำหรับพริกหวาน

  • ระยะปลูก 40×50 เซนติเมตร
  • ระยะปลูกในโรงเรือน 50×100 ถึง 120 เซนติเมตร

การตัดแต่งกิ่ง

  • ควรตัดแต่งกิ่งให้เหลือ 2 กิ่งที่สมบูรณ์แข็งแรง เพื่อให้ได้ผลขนาดใหญ่และคุณภาพสูง

การเก็บเกี่ยว

  • ระยะเก็บเกี่ยวพริกหวานนั้น ขึ้นอยู่กับระยะทางการขนส่ง ตลาดในท้องถิ่น ให้เก็บเกี่ยวเมื่อผลเปลี่ยนสีได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตลาดที่อยู่ไกล ควรเก็บเกี่ยวเมื่อผลเปลี่ยนสี 35 ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้มีดบางและคม ตัดขั้วที่ติดอยู่กับลำต้น ไม่แนะนำให้ปลิดผลเพราะจะทำให้ลำต้นฉีก

การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว

  • ใช้คลอรีนเข้มข้น 300 ppm และน้ำอุณหภูมิ 53 องศาเซลเซียสล้างทำความสะอาดเพื่อไม่ให้ผลเน่า

พริกหนุ่ม / พริกมัน / พริกยำ

  • เป็นพริกที่ปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด แต่ที่เหมาะสมที่สุดคือ ดินร่วนปนทราย ไม่ชอบอากาศร้อน หรือฝนตกชุก เพราะทำให้ขนาดผลเล็กลง และมีโรค มีแมลงเข้าทำลาย

สายพันธุ์ พริกหนุ่ม / พริกมัน / พริกยำ

  1. พันธุ์แทงโก้—ผลดก เหมาะสำหรับรับประทานสดและอุตสาหกรรมแปรรูป
  2. พันธุ์พริกหนุ่มเขียวสันกำแพง เป็นพริกลูกผสม ผลดก ผลตรงเนื้อแน่นแข็ง เหมาะสำหรับรับประทานสดและอุตสาหกรรมแปรรูป
  3. พันธุ์พริกหนุ่มเขียวลูกผสมไวต้า-เอส เป็นพริกลูกผสม ต้นแข็งแรง ให้ผลผลิตสูง เนื้อผลหนา เหมาะสำหรับรับประทานสดและอุตสาหกรรมแปรรูป
  4. พันธุ์จอมทอง2 เป็นพันธุ์ลูกผสม ผลดก เหมาะสำหรับรับประทานสดและอุตสาหกรรมแปรรูป
  5. พันธุ์ 7216 เป็นพันธุ์ลูกผสม
  6. พันธุ์สะบันงา หรือหนุ่มขาว

วิธีการปลูกและการดูแลเหมือนกับพริกขี้หนู

พริกหยวก
เหมาะสำหรับปลูกเป็นพืชหมุนเวียน เพราะมีอายุสั้น ไม่ต้องการน้ำมาก สามารถใช้เพาะปลูกหลังฤดูการทำนาได้ ผลอ่อนมีสีเหลืองอ่อน สีเหลือง และสีเขียวอ่อน ผลสุกแก่มีสีแดง มีรสเผ็ดน้อย นิยมประกอบอาหารประเภท หลน ผัด ย่าง หรือทำพริกหยวกยัดไส้

พริกชี้ฟ้า
เหมาะที่จะปลูกกลางแจ้งมากกว่าการปลูกแซมพืชไร่ ผลเป็นรูปกลมยาว ปลายแหลม ผลอ่อนสีเขียวแก่ ผลแก่สีแดง ปลายผลชี้ตั้งขึ้น มีรสเผ็ดปานกลาง ให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี
สายพันธุ์ยอดนิยมของพริกชี้ฟ้า

  1. พันธุ์พิจิตร1—เหมาะสำหรับทำพริกแห้ง ไม่ทนต่อโรคแอนแทรกโนส ต้องพ่นสารเคมีหรือน้ำหมักสมุนไพรป้องกันและกำจัดโรคแอนแทรกโนสหลังจากมีฝนตกติดต่อกันหลายวัน
  2. พันธุ์พิจิตร05—ทนต่อโรคเหี่ยวจากเชื้อแบคทีเรีย เหมาะสำหรับทำซอสพริก
  3. พันธุ์แม่ปิง—เป็นพันธุ์ลูกผสม
  4. พันธุ์จักรพรรดิ—เป็นพันธุ์ลูกผสม เหมาะสำหรับรับประทานสดและแปรรูป
  5. พันธุ์บางช้าง (TVRC 365)—ปลูกได้ตลอดทั้งปี เหมาะสำหรับรับประทานสด ทำพริกดอง พริกแห้ง และซอสพริก แต่ไม่ทนต่อโรคแอนแทรกโนส

การให้น้ำ

  • ช่วงหน้าแล้งให้รดน้ำทุกวัน ส่วนหน้าฝน ให้เว้นระยะการให้น้ำ โดยสังเกตสภาพอากาศและดิน

การเก็บเกี่ยว

  • การปลูกพริกชี้ฟ้านั้น มีวิธีการปลูกและดูแลเช่นเดียวกันกับพริกขี้หนู แต่พริกชี้ฟ้าส่วนใหญ่ไม่ทนต่อโรคแอนแทรกโนส ในการระบาดขั้นรุนแรง จำเป็นต้องใช้สารเคมีในการกำจัดโรค ก่อนเก็บเกี่ยวต้องรอให้ฤทธิ์ยาหมดลงก่อนประมาณ 7 วัน และหลังจากนั้นอีก 7 วัน จึงทำการเก็บเกี่ยวโดยเด็ดตรงก้าน

เทคนิคเสริม ป้องกันโรคแอนแทรกโนส และโรคพริกอื่นๆ

  • หลังการเพาะกล้า ให้รดน้ำให้ทั่วแปลงเพาะหรือถาดเพาะกล้าทุกวัน
  • เมื่อต้นกล้าเริ่มขึ้น นำวัสดุคลุมกล้าออก รดน้ำต่ออีกประมาณ 2 ถึง 3 วัน
  • รดต้นกล้าด้วยน้ำปูนใส (ใช้เฉพาะน้ำใส 1 ส่วน ผสมน้ำเปล่า 1 ส่วน)
    จากนั้นเว้นระยะห่าง 3 ถึง 4 วัน จึงรดด้วยน้ำปูนใสอีกครั้ง สลับกับการรดน้ำธรรมดา
  • เมื่อต้นกล้าได้อายุปลูก คือ อายุ 30 ถึง 35 วัน ให้ถอนมาแช่เฉพาะส่วนรากด้วยเชื้อราไตรโคเดอร์มา 30 นาที ก่อนนำลงแปลงปลูก

เทคนิคเสริมก่อนการเพาะปลูกพริกรุ่นต่อไป

  • ปลูกปอเทือง เมื่อพริกหมดรุ่นเพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืชสด และปรับปรุงดิน เมื่อปอเทืองมีอายุ 45 วัน ให้ไถกลบ
  • กำจัดไส้เดือนฝอยสาเหตุของโรครากปม (ติดตามในบทความ โรคพริก)
  • ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักชีวภาพ เพื่อเพิ่มธาตุอาหารในดิน พักดินไว้ประมาณ 3 ถึง 4 เดือน จึงทำการปลูกพริกรุ่นต่อไป

ผู้เขียนอยากให้เกษตรกรและผู้ปลูก ได้รับผลกำไรตอบแทนอย่างคุ้มค่านะคะ และหวังว่าข้อมูลต่างๆ ที่นำมาฝาก จะยังประโยชน์ให้ทุกท่าน

อย่าพลาดติดตามบทความ แมลงศัตรูพริก และ บทความ โรคพริก นะคะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : คลิ๊กที่นี่

(แหล่งข้อมูล : หนังสือ วางแผน…การปลูกสารพัดพริกช่วงแพง สนพ.นาคา โดย อภิชาติ ศรีสะอาด และ พัชรี สำโรงเย็น)

Comments

comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *