ปลูกอะโวคาโด้ผลิตเครื่องสำอาง

ปลูกอะโวคาโด้ผลิตเครื่องสำอาง

ปลูกอะโวคาโด้ผลิตเครื่องสำอาง เป็นเกษตรกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมาหลายปีแล้วอะโวคาโด้ เป็นหนึ่งในไม้ผล 8 ชนิด ที่ได้รับการทดสอบสาธิตเพื่อทดสอบพืชพันธุ์ใหม่ ของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์ อำเภอกัลยานิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เพื่อให้ราษฎรในพื้นที่และชาวไทยภูเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากโครงการในพระราชดำริ เมื่อปี 2522 จนถึงปัจจุบัน อะโวคาโด้ ได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจของราษฎรในพื้นที่ดังกล่าว และแผ่ขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทย เพราะการปลูกอะโวคาโด้นั้น ไม่ใช่แค่เพียงเพื่อจำหน่ายผลสดเท่านั้น แต่เป้าหมายหลักของการปลูกอะโวคาโด้ คือ รายได้จากภาคอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสำอาง อาทิ ครีมบำรุงผิว, ครีมกันแดด, ครีมขัดผิว, ครีมหมักผม, ทรีทเม้นท์, สบู่ และแชมพู เป็นต้น

การทำการเกษตรไม้ผลเพื่อจำหน่ายผลผลิตในรูปแบบของผลสด มีปัญหาและความเสี่ยงหลายอย่าง เช่น ขนาดและรูปร่างของผล, ผลผลิตไม่ตรงตามฤดูกาล, ผลผลิตล้นตลาด และเงินทุนในการแปรรูป การปลูกอะโวคาโด้เพื่อจำหน่ายผลสดและเพื่อผลิตเครื่องสำอางนี้ เป็นนวัตกรรมทางความคิดที่ดีเยี่ยม ถึงแม้ว่า เกษตรกรจะไม่ได้เป็นผู้ประกอบการเองก็ตาม แต่อะโวคาโด้ก็มีตลาดรองรับ ไม่ต้องกลัวปัญหาในด้านของรายได้ค่าตอบแทน ด้วยคุณสมบัติที่อะโวคาโด้มีอยู่ คือ สารต้านอนุมูลอิสระที่มีปริมาณสูง ลดริ้วรอยร่องลึกได้ดีกว่าผลไม้ชนิดอื่น เครื่องสำอางที่ผลิตจากอะโวคาโด้จึงเข้าสู่ตลาดเครื่องสำอางได้อย่างรวดเร็ว ส่วนผลสดนั้น มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายไม่แพ้กัน

ประโยชน์จากการรับประทานผลสดอะโวคาโด้

ลดน้ำหนักและกำจัดไขมันชนิดเลว
อะโวคาโด้เป็นผลไม้ที่มีไขมันสูงถึง 17.3 กรัม ต่อน้ำหนักผล 100 กรัม แต่เป็นไขมันชนิดดีเป็นที่ต้องการของร่างกาย ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและกำจัดไขมันชนิดเลวออกจากร่างกาย ควรรับประทานผลสดของอะโวคาโด้ทุกวันๆ ละ 200 กรัม และระดับคอเลสเตอรอลในเลือดก็สามารถลดตามไปด้วย ร่างกายไม่เสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน หรือไขมันอุดตันเส้นเลือดสมอง

พัฒนาสมองลูกน้อยในครรภ์
เพราะอะโวคาโด้มีโฟเลตสูง ผู้หญิงตั้งครรภ์ควรรับประทานผลสดของอะโวคาโด้เป็นประจำต่อเนื่องไปยังระยะที่ต้องให้นมลูกน้อยหลังคลอด เพื่อบำรุงลูกน้อยในครรภ์ให้แข็งแรงสมบูรณ์ มีพัฒนาการทางสมองที่ดี

ป้องกันและบรรเทาอาการเหน็บชา
การรับประทานผลสดของอะโวคาโด้เป็นประจำช่วยลด และป้องกันอาการเหน็บชาได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหากับปลายเส้นประสาท

ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
อะโวคาโด้ช่วยป้องกันปัญหาเลือดออกตามไรฟัน, ช่วยทำให้เหงือกและฟันแข็งแรง ด้วยวิตามินซีที่มีอยู่ในผลสด

ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
ผู้ที่รับประทานอะโวคาโด้เป็นประจำ จะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระช่วยกำจัดเซลล์เนื้อร้ายต่างๆ ที่อยู่ในร่างกาย ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ถึงแม้ว่าเป็นแล้ว ก็รับประทานเพื่อบรรเทาอาการได้

ป้องกันและบรรเทาอาการหวัด
ถ้าร่างกายได้รับวิตามินซีที่มีอยู่ในผลอะโวคาโด้ เป็นประจำ ร่ายกายจะสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ต้านทานเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียที่เข้าสู้ร่างกายได้ดี ไม่เจ็บไม่ไข้ ไม่เป็นหวัด และช่วยบรรเทาอาการหวัดได้แม้จะกำลังมีอาการอยู่ก็ตาม

ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
เส้นใยในผลอะโวคาโด้ ช่วยในการขับถ่าย บรรเทาอาการท้องผูก โดยไม่ต้องพึ่งยาถ่ายหรือยาระบาย และควรรับประทานเป็นประจำ เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง

อุดมไปด้วยไขมันชนิดดี
ไขมันชนิดดีในเนื้อผลสดให้ประโยชน์สูงต่อร่ายกาย ช่วยดูดซึมสารแคโรทีนอยด์, ช่วยต้านอนุมูลอิสระ, ช่วยลดไขมันเลวในเลือด, ช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานและโรคหัวใจ สุขภาพแข็งแรง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนรักสุขภาพ

บำรุงสายตา
สุขภาพตาถูกบั่นทอนไปตามวัย และการใช้เทคโนโลยีเป็นเวลานาน เช่น คอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์มือถือ วิตามินเอที่มีอยู่ในอะโวคาโด้ช่วยบำรุงสายตา และลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพตาได้ดี

ประโยชน์ของอะโวคาโด้ที่มีต่อความงาม
น้ำมันจากอะโวคาโด้ เมื่อถูกสกัดมาใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื่น และลดและชะลอริ้วรอยก่อนวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ที่สำคัญ อ่อนโยนต่อผิวที่แพ้ง่ายและได้ผลดีเยี่ยมสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง

แก้ไขปัญหาเส้นผมขาดหลุดร่วง
ใช้น้ำมันสกัดจากอะโวคาโด้แก้ไขปัญหาเส้นผมขาดหลุดร่วง ช่วยกระตุ้นรากผมให้งอกใหม่ได้เร็วขึ้น แข็งแรงขึ้น ลดปัญหาการขาดหลุดร่าวง นอกจากนี้ยังช่วยเร่งให้ผมยาวได้เร็ว ตอบโจทย์ผู้ที่ผมยาวช้าได้ดี

บำรุงผิวหน้า
อะโวคาโด้เป็นที่นิยมในการนำผลสด หรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปมามาส์กบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื่น เนียนนุ่ม บำรุงและดูแลผิวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มีเคล็ดลับผิวสวยหน้าใส ไร้สิว ไร้ริ้วรอย กระชับรูขุมขน มาฝากกัน

สูตรมาส์กหน้า ด้วยอะโวคาโด้

  • อะโวคาโด้ ½ หรือ 1 ผล
  • ข้าวโอ้ตบดละเอียด ¼ ถ้วยตวง
  • น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ ขูดเนื้ออะโวคาโด้ แล้วผสมข้าวโอ้ตบดละเอียด และน้ำผึ้ง คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นทาให้ทั่วผิวหน้า มาส์กไว้ 20 นาทีแล้วใช้น้ำอุ่นล้างออก แนะนำให้ทำเป็นประจำ ผิวหน้าจะสวยโดยไม่ต้องอายหน้าสด

ส่วนผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ใช้สูตรนี้นะคะ
สูตรมาส์กหน้า ฟื้นฟูผิวแห้งกร้าน

  • อะโวคาโด้ 2 ผล
  • มะนาว 1 ช้อนชา
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา

วิธีทำ ปั่นเนื้ออะโวคาโด้ที่ขูดได้ รวมกับน้ำผึ้งกับน้ำมะนาว จนเนื้อละเอียดเป็นครีมข้น จากนั้นล้างหน้าให้สะอาด แล้วนำเนื้อครีมมามาส์กหน้าไว้ประมาณ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยสบู่ล้างหน้า หรือคลีนเซอร์เช็ดหน้า ให้สะอาด แล้วทาครีมบำรุง ทำเพียงสัปดาห์ละครั้งเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ช่วยฟื้นฟูผิวได้ผลดีเกินคาด ไม่ว่าจะเลือกใช้อะโวคาโด้สายพันธุ์ไหนก็ตาม บางท่านอาจจะเคยสังเกตเห็นว่า มีอะโวคาโด้ที่เปลือกสีออกเหลืองๆ เมื่อสุก จะมีคุณประโยชน์ต่างกันหรือไม่กับเปลือกสีเขียว
จะเปรียบเทียบสายพันธุ์ที่เป็นที่นิยมกันให้ดูค่ะ

  1. พันธุ์แฮส (Hass) มีเปอร์เซนต์น้ำมันสูงถึง 18 ถึง 25 เปอร์เซนต์ และรสชาติดี
  2. พันธุ์เฟอร์เต้ (Fuerte) มีน้ำมัน 18 เปอร์เซนต์
  3. พันธุ์บัคคาเนีย (Buccanaer) มีน้ำมัน 12 ถึง 18 เปอร์เซนต์

ดูจากการเปรียบเทียบแล้ว ก็ไม่ต่างกันมาก ถ้าเรารับประทานเป็นประจำตามคำแนะนำ คือ อย่างน้อย 200 กรัมต่อวัน และใช้ประโยชน์จากอะโวคาโด้อย่างต่อเนื่อง ร่างกายก็จะเก็บสะสมประโยชน์ไว้ให้เรามีสุขภาพที่ดี ร่างกายแข็งแรงบทความนี้ เป็นบทความแนะนำตัว ของอะโวคาโด้ ก่อนทำการปลูก ซึ่งจากประโยชน์โดยรวมที่อะโวคาโด้มีอยู่นั้น น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยนะคะ ช่วงท้ายนี้ มีสายพันธุ์อะโวคาโด้ที่นิยมปลูกมาแนะนำ…

พันธุ์แฮส (Hass)
เป็นสายพันธุ์การค้าอันดับ 1 ของโลก ราคาแพงมากที่สุด

  • ผล รูปร่างคล้ายผลแพร์ ผิวขรุขระ สีเขียวเข้ม แต่จะเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำเมื่อสุก เนื้อสีเหลือง เมล็ดเล็ก ขนาดผลเล็ก มีน้ำหนักประมาณ200 ถึง 300 กรัม
  • ใบ แหลมเรียว ออกห่างๆ กัน
    ช่วงเก็บเกี่ยวผล เดือนธันวาคม ถึง เดือนกุมภาพันธ์ ให้ผลผลิตได้ดีในสภาพอากาศเย็น
    มีไขมัน 18 ถึง 25 เปอร์เซ็นต์

พันธุ์บูธ-7 (Booth 7)

  • ผล มีรูปร่างกลมป้าน ผิวเปลือกสีเขียวและขรุขระ เปลือกหนา เนื้อสีเหลืองอ่อน เมื่อสุกผลจะตกกระ เมล็ดขนาดกลาง รสชาติปานกลาง
  • ใบ ใหญ่ เป็นมัน ลำต้นขนาดใหญ่
    ช่วงเก็บเกี่ยวผล เดือนตุลาคม ถึง เดือนธันวาคม ให้ผลผลิตดก

พันธุ์เฟอร์เต้ (Fuerte)
เป็นพันธุ์การค้าของโลก อีกหนึ่งสายพันธุ์

  • ผล รูปร่างคล้ายผลแพร์เช่นเดียวกับพันธุ์แฮส ผิวสีเขียวเข้ม ขรุขระเล็กน้อย เนื้อสีเหลืองครีม เมล็ดขนาดกลาง น้ำหนักผลประมาณ 150 ถึง 300 กรัม รสชาติดี
    ช่วงเก็บเกี่ยวผล เดือนตุลาคม ถึง เดือนธันวาคม
    พันธุ์บัคคาเนีย (Buccanaer)
  • ผล รูปร่างมนรี มีขนาดใหญ่ น้ำหนักประมาณ 3 ถึง 4 ผล ต่อกิโลกรัม ผลสุกจะเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเหลือง
  • ใบ มีขนาดกว้าง ผิวใบไม่มัน ยอดเขียว

ผู้อ่านสามารถศึกษาวิธีปลูกได้จากบทความ การปลูกอะโวคาโด้ ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : คลิ๊กที่นี่

(แหล่งข้อมูล : www.organicbook.com, https://hkm.hrdi.or.th)

Comments

comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *