คะน้าใบหยิก

คะน้าใบหยิก

คะน้าใบหยิก
คะน้าใบหยิก เป็นผักในตระกูลเดียวกับ คะน้า กะหล่ำ และบร็อคคอรี่ แตกต่างกันที่ คุณค่าทางอาหาร คะน้าใบหยิก ได้รับการขนานนามว่าเป็น ราชินีแห่งผัก หรือ Queen of Green เพราะมีคุณค่าทางอาหารสูงที่สุดในโลก ซึ่งในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศอังกฤษ เป็นที่รู้จักและนิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย ที่พบเห็นทั่วไปจะมีใบสีเขียว สีม่วง หรือสีม่วงแดง

ประโยชน์ของ คะน้าใบหยิกสีเขียว

  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
  • ชะลอความแก่
  • ลดภาวะเป็นพิษและเสริมสร้างคอลลาเจนให้แก่ร่างกาย เนื่องจากมี เบต้าแคโรทีน และโปรตีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก
  • มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ที่สำคัญที่สุดคือ มีใยอาหารสูงมาก ช่วยในการย่อยและดูดซับสารอาหาร และสารเคมีต่างๆ ทำให้ระดับคอเรสเตอรอล และไขมันในเส้นเลือดลดลง
  • มีวิตามิน บี2 และแร่ธาตุหลายชนิด ที่เป็นประโยชน์ต่อการควบคุมสมดุลกรดเบสในกระแสเลือด
  • มีแคลเซียมสูงกว่านม เสริมสร้างกระดูก และฟัน ให้แข็งแรง แต่ไม่เพิ่มน้ำหนักตัว
  • แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ที่มีอยู่ในผักตระกูลนี้ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
  • มีสาร Sulforaphane ซึ่งมีคุณสมบัติต้านเซลล์มะเร็ง
  • มีธาตุเหล็กสูงมาก ธาตุเหล็กจะบำรุงเลือดและตับได้เป็นอย่างดี
  • มีวิตามิน ซี สูงกว่าผักใบอื่นๆ และมีวิตามิน เอ ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ ป้องกันหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคกระดูกบาง
  • มีกรดไขมันโอเมก้า 3
  • เป็นผักที่ Detox ตับได้เป็นอย่างดีเพราะมีไฟเบอร์และซัลเฟอร์
  • มีวิตามิน เค สูงมาก ดีต่อเซลล์สมอง กระดูก และ ระบบเลือด

ประโยชน์ของ คะน้าใบหยิกสีม่วง
นอกจากคุณประโยชน์ของคะน้าใบหยิกที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว สารอาหารที่พบในคะน้าใบหยิกสีม่วงที่มีเพิ่มขึ้นมาคือ สารแอนโทไซยานิน ซึ่งโดยปกติแล้ว จะพบมากในผักและผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้คุณประโยชน์ดังนี้

  • ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
  • ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง ด้วยการยังยั้งไม่ให้เลือดจับตัวเป็นก้อน
  • ชะลอความเสื่อมของดวงตา
  • ช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ที่ก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคท้องร่วงและอาหารเป็นพิษ

การนำคะน้าใบหยิกมาใช้ประโยชน์

  • รับประทานสด หรือรับประทานแบบชุดสลัด
  • นำมาประกอบอาหาร หรือเป็นส่วนประกอบของอาหาร เช่น ผัดน้ำมันหอย, ต้มจับฉ่าย, สตู และ รับประทานเป็นผักเครื่องเคียง
  • นำมาทำเป็นครีมพอกหน้า
  • นำมาทำน้ำปั่นสมูตตี้

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ขอบใบจะหยิกฝอย ต่างจากคะน้าทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด นิยมนำมาทำอาหารประเภทผัด หรือต้มจับฉ่าย มีผลผลิตตลอดทั้งปี

การปลูกคะน้าใบหยิก
ปัจจัยที่ควรคำนึงถึง ในการปลูกคะน้าใบหยิก
สภาพอากาศ
***การปลูกในสภาพอากาศหนาวเย็นหรือมีอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส จะทำให้การเจริญเติบโตช้า ลำต้นและใบอวบใหญ่กว่าปกติ ข้อถี่***
*** การปลูกในสภาพอากาศร้อนสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส คุณภาพผลผลิตต่ำ เยื่อใยสูง เหนียว จำเป็นต้องให้น้ำมากกว่าปกติ***

  • อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการปลูกอยู่ระหว่าง 20 ถึง 25 องศาเซลเซียส
  • สำหรับพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 300 – 800 เมตร สามารถปลูกได้คุณภาพดีในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ ส่วนพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตร ขึ้นไป สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี
  • ห่างไกลจากแหล่งมลพิษ หรือ ไม่มีสารปนเปื้อนในดินของพื้นที่เพาะปลูก
  • ใกล้แหล่งน้ำสะอาดและสะดวกต่อการนำมาใช้
  • เป็นพื้นที่ที่ไม่มีน้ำท่วมขัง
  • ใกล้แหล่งรับซื้อ และมีการคมนาคมสะดวก สามารถนำผลผลิตออกสู่ตลาดได้รวดเร็ว

ลักษณะดิน

  • ควรร่วนซุย หรือเป็นดินร่วนปนทราย
  • มีความอุดมสมบูรณ์สูง (ก่อนปลูกควรใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก)
  • ดินมีการระบายน้ำดี
  • ค่าความเป็นกรด – ด่างดินควรอยู่ระหว่าง 6.0 ถึง 6.8

***หากดินที่ปลูกมีความเป็นกรดสูง ควรปรับด้วยปูนขาวหรือโดโลไมด์

  • ดินปลูกควรมีความชื้นสูงประมาณ 80 เปอร์เซนต์

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก
ในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนกุมภาพันธ์ จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี

ระบบน้ำ

  • มีแหล่งน้ำสะอาดปราศจากสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ที่มีพิษปนเปื้อน และเพียงพอสำหรับใช้ตลอดฤดูปลูก
  • ใช้ระบบน้ำสปริงเกอร์แบบหัวพ่นฝอย

สายพันธุ์

  • เลือกสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง มีคุณภาพตรงตามที่ตลาดต้องการ
  • เป็นสายพันธุ์ที่เจริญเติบโตได้ดี เหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศในพื้นที่ที่ปลูก
  • มีความต้านทานต่อโรคและแมลงได้ดี

คะน้าใบหยิกสีเขียว

  • มีอายุการเก็บเกี่ยว 50 ถึง 60 วัน
  • อุณหภูมิในการเพาะเมล็ด 28 ถึง 33 องศาเซลเซียส
  • อุณหภูมิในการปลูก 20 ถึง 25 องศาเซลเซียส

คะน้าใบหยิกสีม่วง หรือสีม่วงแดง

  • มีอายุการเก็บเกี่ยว 70 ถึง 80 วัน
  • อุณหภูมิในการเพาะเมล็ด 28 ถึง 33 องศาเซลเซียส
  • อุณหภูมิในการปลูก 20 ถึง 25 องศาเซลเซียส

คำแนะนำ

  • ควรปลูกในโรงเรือน เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง, ลดต้นทุนในการใช้สารเคมีกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช รวมทั้งสารเคมีในการกำจัดวัชพืช และดูแลง่าย ประหยัดเวลาและแรงงานในการดูแล
  • คะน้าใบหยิก สามารถปลูกได้ทั้งปี ด้วยเทคนิคการพรางแสง และเพิ่มปริมาณการให้น้ำ
    การเตรียมเมล็ดพันธุ์
    แช่เมล็ดพันธุ์ก่อนปลูกในน้ำอุ่นประมาณ 50-55 องศาเซลเซียส นาน 15-20 นาที

การเตรียมกล้าคะน้าใบหยิก มี 2 วิธี

วิธีที่ 1
การเพาะเมล็ดในกระบะ

  • ผสม ทราย 2 ส่วน : ขุยมะพร้าว 1 ส่วน : หน้าดิน 1 ส่วน หรือ ขุยมะพร้าว 3 ส่วน : แกลบ 1 ส่วน
  • หยอดเมล็ดลงในกระบะเพาะกล้าโดยตรง
  • เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 5 วัน ย้ายลงถาดหลุมที่ใช้วัสดุเพาะ
  • เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 18 – 21 วัน หรือมีใบจริงอย่างน้อย 2 – 3 ใบ จึงทำการย้ายปลูก

วิธีที่ 2
การเตรียมแปลงเพาะ
แปลงเพาะกล้าควรมีขนาดกว้าง 1 เมตรส่วนความยาวตามความเหมาะสมของพื้นที่
การเตรียมดินบนแปลงเพาะกล้า

  • ควรขุดไถพรวนดินให้ดี ตากดินไว้ประมาณ 5 ถึง 7 วัน
  • ย่อยหน้าดิน ให้ละเอียด แล้วใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วในปริมาณที่เหมาะสมกับสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน คลุกเคล้าให้เข้ากับดินให้ทั่ว

การเพาะ

  • หว่านเมล็ดให้กระจายสม่ำเสมอทั่วแปลง
  • กลบเมล็ดด้วยดิน หรือปุ๋ยคอกที่สลายตัวดีแล้วให้หนาประมาณ 0.6 ถึง 1 เซนติเมตร
  • คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งบางๆ รดน้ำให้ชุ่มด้วยบัวรดน้ำ หรือหัวรดน้ำที่เป็นฝอยละเอียด

การดูแลต้นกล้า

  • ภายใน 7 วัน ต้นกล้าจะงอก ดูแลต้นกล้า ถอนต้นที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง หรือเบียดกันแน่นทิ้งไป
  • ดูแลป้องกันโรคและแมลงศัตรูที่เกิดขึ้น
  • เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 25 ถึง 30 วัน จึงทำการย้ายไปปลูกในแปลงปลูกต่อไป

การเตรียมดิน

  • ขุดดินลึก 10 – 15 เซนติเมตร ตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 7 ถึง 14 วัน
  • โรยปูนขาว หรือ โดโลไมท์อัตรา 10 ถึง 100 กรัม ต่อตารางเมตร
  • ขึ้นแปลงกว้าง 1 ถึง 1.20 เมตร หรือตามความเหมาะสมของพื้นที่
  • ใส่ปุ๋ยรองพื้นปุ๋ยคอก (มูลไก่) หรือปุ๋ยหมักอัตรา 3 กิโลกรัม ต่อตารางเมตร หรือในปริมาณที่มากกว่านี้ตามสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน

การปลูก

  • นำต้นกล้าที่มีอายุ 18 – 21 วัน ไปปลูกลงในแปลงที่เตรียมดินไว้ ควรปลูกเป็นแถวเดียว เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี
    ในกรณีที่ต้องการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูร้อน (อุณหภูมิไม่เกิน 28 องศาเซลเซียส) เว้นระยะปลูกต่อต้น 30 x 30 เซนติเมตร, ฤดูฝนและหนาว 30 x 40 เซนติเมตร แต่ถ้าต้องการเก็บเกี่ยวครั้งเดียวควรใช้ระยะปลูก 25 x 25 เซนติเมตร
  • รดน้ำให้ชุ่มด้วยบัวรดน้ำ หรือหัวรดน้ำที่เป็นฝอยละเอียด

***หากต้องการประหยัดพื้นที่เพาะปลูก สามารถปลูกในภาชนะ เช่น กระถาง, วงบ่อซีเมนต์, ยางรถยนต์ หรือภาชนะเหลือใช้อื่นๆ ที่มีรูระบายน้ำ*** ติดตามการให้น้ำ ให้ปุ๋ย และอื่นๆ ในบทความ การดูแลคะน้าใบหยิก หลังการปลูก นะคะ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี มีคุณภาพรวมถึง บทความ การป้องกันและแก้ไข โรคและแมลงศัตรูคะน้าใบหยิก

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : คลิ๊กที่นี่

(แหล่งข้อมูล : http://hkm.hrdi.or.th, www.maamjourney.com, www.women.thaiza.com, www.maceducation.com, www.bighealthyplant.com)

Comments

comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *