ข้าวโพดหวานญี่ปุ่น

ข้าวโพดหวานญี่ปุ่น

ข้าวโพดหวานญี่ปุ่น
ข้าวโพดหวานญี่ปุ่น สายพันธุ์ที่แนะนำให้รู้จัก คือ สายพันธุ์ มิไร (Mirai F1) เพื่อให้ได้ประโยชน์หลายทาง นอกไปจากการใช้เพาะปลูกเป็นพืชหมุนเวียน สลับกับการปลูกพืชหลัก ซึ่งนอกจากจะช่วยปรับปรุง บำรุงดินแล้ว ยังมีจุดเด่นคือ สามารถรับประทานสดได้ เนื้อข้าวโพดมีกลิ่นหอม เนื้อกรอบ หวานฉ่ำน้ำ ฝักใหญ่พอประมาณ ความยาวของฝักประมาณ 5 ถึง 6 นิ้ว เนื้อมีสีเหลืองนวล ในฝักมีแถวเมล็ดประมาณ 16 แถว มีเปลือกหุ้มฝักสีเขียวเข้ม ที่สำคัญ มีปริมาณของแป้งต่ำ สร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกรได้ดี

นอกจากเกษตรกรมืออาชีพแล้ว หากท่านผู้อ่านสนใจทดลองปลูก ก็เหมาะสำหรับเกษตรกรมือใหม่เป็นที่สุด เพราะเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกง่าย ทนต่อโรคราน้ำค้าง โรคราสนิม และโรคใบไหม้ ได้ดีมาก และนอกเหนือไปจากคุณสมบัติด้านความอร่อย และความเหมาะสมในการเพาะปลูกแล้ว สรรพคุณและประโยชน์ ข้าวโพดหวานญี่ปุ่น ยังมีไม่น้อยไปกว่าข้าวโพดสายพันธุ์อื่นๆ

คุณค่าทางโภชนาการของ ข้าวโพดหวาน
คาร์โบไฮเดรต, แป้ง, น้ำตาล, ใยอาหาร, ไขมัน, โปรตีน, ทริปโตเฟน, ทรีโอนีน, ไอโซลิวซีน, ลิวซีน, ไลซีน, เมทไธโอนีน, ซิสทีน, ฟีนิลอะลานีน, ไทโรซีน, วาลีน, อาร์จินีน, ฮิสตามีน, อะลานีน, กรดแอสปาร์ติก, กรดกลูตามิก, ไกลซีน, โพรลีน, ซีรีน, วิตามิน เอ, วิตามิน บี, วิตามิน บี 2, วิตามิน บี 3, วิตามิน บี 5, วิตามินบี 6, วิตามินบี 9, วิตามิน ซี, ลูทีนและซีแซนทีน, ธาตุเหล็ก, ธาตุแมกนีเซียม, ธาตุแมงกานีส, ธาตุฟอสฟอรัส, ธาตุโพแทสเซียม, ธาตุสังกะสี

สรรพคุณของข้าวโพด

เมล็ด

  • เมล็ดมีรสหวานมัน ช่วยบำรุงร่างกาย, ช่วยบำรุงปอดและหัวใจ
  • เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ที่ได้รับการผ่าตัดโรคมะเร็งที่กระเพาะอาหาร โดยใช้เมล็ดข้าวโพดนำมาต้มใส่เกลือเล็กน้อยและไข่ขาว แล้วนำมารับประทาน
  • ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร
  • นำเมล็ดมาบดพอกแผล เพื่อทำให้เยื่ออ่อนนุ่มไม่ให้เกิดการระคายเคือง

เกสรเพศเมีย

  • ใช้ยอดเกสรเพศเมียแห้งเอามาใส่ในกล้องยาสูบแล้วใช้จุดสูบ แก้ไขความจำเสื่อมหรือโรคขี้ลืม
  • ใช้เป็นยาแก้เบาหวาน โดยนำยอดเกสรเพศเมียมาตากแห้ง นำมาใช้ประมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม
  • ช่วยแก้โรคความดันโลหิตสูง ใช้ยอดเกสรเพศเมียแห้ง เปลือกกล้วยแห้ง และเปลือกแตงโมแห้งอย่างละเท่ากัน นำมาต้มกับน้ำดื่ม
  • เป็นยาสุขุม ออกฤทธิ์ต่อกระเพาะลำไส้และทางเดินปัสสาวะ มีสรรพคุณขับความร้อนชื้น แก้อาการกระหายน้ำ
  • ช่วยแก้เลือดกำเดา
  • แก้อาการไอเป็นเลือดหรือตกเลือด ให้นำยอดเกสรเพศเมีย มาต้มกับเนื้อสัตว์รับประทาน
  • ช่วยแก้โพรงจมูกอักเสบ จมูกอักเสบเรื้อรัง
  • บรรเทาอาการโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ สำหรับผู้ที่ป่วยมีอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกเพียงจุดใดจุดหนึ่ง เป็นซีกซ้ายหรือขวาก็ได้ และจะเจ็บเพียงชั่วขณะที่หายใจเข้าลึก ๆ ที่ปอดขยายตัวเต็มที่ ทำให้ส่วนที่อักเสบเกิดการเสียดสีกัน ถ้าเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสชนิดที่ไม่รุนแรงก็จะไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ แต่สำหรับอาการที่เห็นทั่วไปจะมีเหงื่อเย็น ๆ ออกจนเปียกข้างลำตัว ให้ใช้เกสรเพศเมีย 1 กิโลกรัม นำมานึ่งแล้วใช้พอกบริเวณปอด จะช่วยทำให้มีอาการดีขึ้น หรือจะนำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้ผลเช่นกัน
  • ช่วยแก้เต้านมเป็นฝี
  • ใช้เป็นยาพอกแผล หากเกิดบาดแผล ให้ใช้เกสรเพศเมียสด ๆ นำมาตำให้ละเอียดแล้วพอก จะช่วยทำให้อาการดีขึ้น
  • ช่วยแก้โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงนิ่วในอวัยวะอื่น ๆ
  • ช่วยขับนิ่วในถุงน้ำดี กระตุ้นให้น้ำดีขับเคลื่อน แก้ถุงน้ำดีอักเสบ มะเร็งในถุงน้ำดี และช่วยบำรุงน้ำดี
  • ช่วยบำรุงตับ แก้ตับอักเสบ ตับอักเสบเป็นดีซ่าน แก้ดีซ่าน แก้ไตอักเสบ ซึ่งตามตำรับยาแก้ไตอักเสบจะใช้เกสรเพศเมีย 30 กรัม, หญ้าหนวดแมว 20 กรัม, หญ้าคา 20 กรัม, ข้าวเย็นเหนือ 25 กรัม, ข้าวเย็นใต้ 25 กรัม และโกฐน้ำเต้า 5 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือหากไตอักเสบหรือเริ่มเป็นนิ่วที่ไต ให้ใช้ยอดเกสรเพศเมียพอประมาณ นำมาต้มจนข้นแล้วนำมากิน หรือหากเป็นโรคไตอักเสบเรื้อรัง ให้ใช้ยอดเกสรเพศเมียแห้ง 50 กรัมนำมาต้มกับน้ำกิน โดยจะมีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ ทำให้ไตทำงานได้ดีขึ้นจากอาการบวมน้ำและปริมาณของอัลบูมิน (albumin) ในปัสสาวะลดลง โดยคนไข้ที่กินติดต่อกันนาน 6 เดือนยังไม่พบอาการเป็นพิษแต่อย่างใด ส่วนอีกตำรับยาที่ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับไต ให้ใช้ยอดเกสรเพศเมียแห้ง 60 กรัม นำมาต้มกับกินวันละ 2 ครั้ง แล้วให้กินโพแทสเซียมคลอไรด์ร่วมด้วย โดยทั่วไปเมื่อกินยานี้ไปแล้ว 3 วัน ปัสสาวะจะมากขึ้น ปริมาณของอัลบูมินและสารจำพวกไนโตรเจนที่ไม่ใช่โปรตีนในปัสสาวะนั้นจะลดลง และคนไข้บางรายจะมีปริมาณของอัลบูมินในโลหิตสูง ส่วนบางรายความดันโลหิตจะลดลงจนสู่ระดับปกติ

ต้น, เมล็ด

  • ต้นและเมล็ดช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • ช่วยแก้ไข้ทับระดู

ฝอย

  • ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน

รากและเมล็ด

  • ช่วยแก้อาการอาเจียน

รากและเกสรเพศเมีย

  • ช่วยแก้อาการอาเจียนเป็นโลหิต ใช้รากข้าวโพดแห้งประมาณ 60 ถึง 120 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม

ไม่ระบุแน่ชัดว่าใช้ส่วนใดของข้าวโพด

  • ช่วยรักษาอาการอาหารไม่ย่อย ด้วยการใช้ข้าวโพด 500 กรัมและเปลือกทับทิม 120 กรัม นำมาผิงไฟให้แห้ง แล้วบดให้เป็นผง นำมาผสมกับน้ำให้ได้ประมาณ 1,500 มิลลิลิตร แล้วใช้ดื่ม 10 มิลลิลิตรต่ออายุ 1 ปี จะช่วยรักษาอาการพิษได้ และในช่วงการรักษาให้ระวังคอยดูแลระดับน้ำและอุณหภูมิของร่างกายไม่ให้เกิดความผิดปกติ

ซังข้าวโพด

  • เป็นยาแก้บิด แก้อาการท้องร่วง ใช้ซังแห้งประมาณ 10-12 กรัมนำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือนำมาเผาเป็นถ่านผสมกับน้ำดื่ม
  • ช่วยแก้ปัสสาวะขัด
  • ใช้ซังแห้งประมาณ 10 ถึง 12 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือนำมาเผาเป็นถ่านผสมกับน้ำกินเป็นยาบำรุงม้าม
  • ช่วยแก้อาการบวมน้ำ ด้วยการใช้ซังแห้งประมาณ 10-12 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือนำมาเผาให้เป็นถ่านแล้วผสมกับน้ำกิน หรือจะใช้ซังข้าวโพดแห้ง 60 กรัม ผสมกับฮวงเฮียงก้วย 30 กรัม (ฮวงเฮียก้วย คือ ผลของ Liquidambar Taiwaniana Hance หรือ Sweet Gum–สวีทกัม เป็นไม้ต่างประเทศ ซึ่งผลที่จะนำมาใช้อาจจะหายากอยู่สักหน่อย แต่ปัจจุบันมีเมล็ดพันธุ์จำหน่ายทางอินเตอร์เน็ต ลักษณะใบคล้ายใบเมเปิ้ล แต่เป็นพืชต่างสกุลกัน) นำมาต้มกับน้ำกิน ส่วนเกสรเพศเมียช่วยแก้อาการบวมน้ำ ขาบวม ซึ่งตามตำรับยาจะใช้เกสรเพศเมีย 30 กรัม, หญ้าหนวดแมว 20 กรัม, หญ้าคา 20 กรัม, ข้าวเย็นเหนือ 25 กรัม, ข้าวเย็นใต้ 25 กรัม และโกฐน้ำเต้า 5 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน ส่วนอีกตำรับจะใช้เกสรเพศเมีย 50 กรัม ผสมกับเมล็ดเทียนเกล็ดหอย 15 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง (เกสรเพศเมีย, ซัง)
  • แผลที่ผิวหนัง และมีเลือดออกในเด็ก ให้ใช้ซังข้าวโพดนำมาเผาให้เป็นเถ้า แล้วนำมาผสมกับน้ำมันเมล็ดป่านหรือน้ำมันพืช ใช้เป็นยาทา

ราก เกสรเพศเมีย ซัง และเมล็ด

  • เป็นยาขับปัสสาวะ ตามตำรับยาจะใช้รากแห้งประมาณ 60 ถึง 120 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือจะใช้ยอดเกสรเพศเมียหรือซังข้าวโพดเอามาต้มกับน้ำดื่มแทนน้ำชาก็ได้
  • ใช้เกสรเพศเมียประมาณ 10ถึง 20 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มทุกวันเป็นยาแก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังหรือเฉียบพลัน

ลำต้น, ใบ, เกสรเพศเมีย

  • ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะกะปริดกะปรอย แก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ

ราก ต้น และใบ

  • ใช้เป็นยาแก้นิ่ว ขับนิ่ว ตามตำรับยาให้ใช้ต้นและใบสดหรือแห้งจำนวนพอสมควร นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้นิ่ว ขับนิ่ว ถ้าเป็นรากให้ใช้รากแห้งประมาณ 60 ถึง 120 กรัมนำมาต้มดื่ม

ประโยชน์ของข้าวโพด
หลายเชื้อชาติ นิยมรับประทานข้าวโพดเป็นอาหารหวาน อาหารว่าง หรือเป็นส่วนประกอบของอาหารต่างๆ เช่น ข้าวโพดต้ม, ข้าวโพดปิ้ง, ข้าวโพดอบเนย, ข้าวโพดเปียก, ข้าวโพดคั่ว, ข้าวโพดน้ำกะทิ, ข้าวโพดคลุก, ข้าวโพดหรุ่ม, ข้าวโพดทอด, น้ำนมข้าวโพด, พายข้าวโพด หรือ รับประทานกับไอศกรีม เป็นต้น

การแปรรูป เช่น แป้งข้าวโพด, นม, เหล้า, เบียร์, วิสกี้, น้ำตาลผง, น้ำหวาน, น้ำเชื่อม, เนยเทียม, มายองเนส, ข้าวโพดกระป๋อง, เครื่องสำอาง, สบู่, น้ำยาทำความสะอาด, น้ำมันข้าวโพด, น้ำเชื่อมข้าวโพด, เครื่องประดับ, อาหารสัตว์, และกระดาษ ฯลฯ

สำหรับคนไทย อาหารคาว ที่ใช้ข้าวโพดมาเป็นส่วนประกอบก็มีมากมาย เช่น แกงเลียงข้าวโพดอ่อน แกงป่า แกงแค ราดหน้า ต้มส้มข้าวโพดอ่อน ห่อหมกข้าวโพด วิหคสวรรค์ ผัดผักรวมมิตร ข้าวโพดฝักอ่อนผัด ข้าวโพดผักรวมมิตรเปรี้ยวหวาน ข้าวโพดอ่อนชุบแป้งทอด ข้าวโพดทอดมัน ส้มตำ หรือจะนำมาลวกจิ้มกินกับน้ำพริก เป็นต้น

คำแนะนำในการรับประทานข้าวโพด

  • ไม่ควรนำข้าวโพดดิบมารับประทาน เพราะมีแป้งที่ไม่ย่อย หากรับประทานเข้าไปจะทำให้ท้องอืด
  • ผู้สูงอายุที่มีปัญหา มีอาการท้องอืดบ่อย ๆ หรือว่าลำไส้ย่อยได้ยาก รวมถึงผู้ที่เพิ่งผ่าตัดช่องท้องใหม่ ๆ ไม่ควรรับประทาน
  • ก่อนนำไปต้มควรแช่น้ำค้างคืนไว้ หรือหากถ้ามีเวลาก็ให้ต้มให้นานที่สุดก็จะช่วยป้องกันอาการท้องอืดได้สำหรับบางรายที่กินข้าวโพดต้มสุกแล้วยังมีอาการท้องอืด อาจเป็นเพราะลำไส้ของผู้นั้น ไวต่อแป้งบางตัวในข้าวโพด ก็เป็นได้
  • ควรรับประทานสลับกันไป เช่น วันนี้รับประทานข้าวโพดอ่อน วันต่อมาก็รับประทานข้าวโพดหวานต้ม
  • ไม่ควรรับประทานมากหรือบ่อยจนเกินไป จะทำให้ร่างกายได้แป้งและน้ำตาลในปริมาณมาก และทำให้อ้วนได้เช่นกัน
  • ข้าวโพดเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับเด็กหรือผู้ต้องใช้สายตามากหรือนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ เพราะจะช่วยสร้างเซลล์ประสาทที่จอตา ช่วยชะลอปัญหาจอประสาทตาเสื่อมหรือตาบอดจากจอตาเสื่อม และยังรวมไปถึงผู้ที่โดนแดด ควัน และฝุ่นละอองบ่อย ๆ หรือผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง หรือเป็นโรคอัลไซเมอร์ก็ควรรับประทานข้าวโพดเช่นกัน เพราะข้าวโพดมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก

ในบทความ การปลูกข้าวโพดหวานญี่ปุ่น จะแนะนำวิธีปลูก, การดูแลหลังการปลูก เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ให้ผลตอบแทนต่อเกษตรกร หรือผู้ปลูก และให้ประโยชน์กับพื้นที่เพาะปลูกอีกด้วย อย่าพลาดติดตามนะคะ

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : คลิ๊กที่นี่

(แหล่งข้อมูล : www.medthai.com, zen-hydroponics.blogspot.com)

Comments

comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *